ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ EV ถือเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนการพัฒนา หากประเทศไทยมีแร่ลิเธียมและโซเดียมในปริมาณมาก จะสามารถเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมนี้ได้อย่างแน่นอน

จุดเปลี่ยนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า: ญี่ปุ่นสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง

ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นถือเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาป (ICE) ของโลก แต่ปัจจุบัน กระแสการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สร้างจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง การแข่งขันระหว่างอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาปแบบดั้งเดิมกับอุตสาหกรรมใหม่อย่างยานยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น

ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้นเมื่อจีนสามารถแซงญี่ปุ่นขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในปี 2566 การเติบโตของจีนในอุตสาหกรรมนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง โดยมีอัตราการเติบโตที่ก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ข้อมูลจากสมาคมอุตสาหกรรมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น (JAMA) ยืนยันว่า ในปี 2566 ญี่ปุ่นส่งออกรถยนต์ทั้งหมด 4.42 ล้านคัน ซึ่งน้อยกว่าจำนวนการส่งออกรถยนต์ของจีนที่สูงถึง 4.91 ล้านคัน ตามข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน (CAAM)

การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับตัวในอุตสาหกรรมยานยนต์ และความท้าทายที่ญี่ปุ่นต้องเผชิญในยุคใหม่ที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซและการใช้พลังงานสะอาด

ค่ายรถแข่งในสมรภูมิรถยนต์ไฟฟ้า

ในขณะที่หลายบริษัทกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) Toyota ก็ไม่พลาดที่จะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ โดยได้ประกาศเป้าหมายในการจำหน่ายรถยนต์อีวีให้ได้ถึง 1.5 ล้านคันต่อปีภายในปี 2569 และมีแผนที่จะเพิ่มยอดขายเป็น 3.5 ล้านคันต่อปีภายในปี 2573

การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ Toyota ในการพัฒนาและขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้พลังงานที่ยั่งยืน

BYD ขึ้นแท่นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าแซงหน้า Tesla

บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน BYD ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครเซินเจิ้น ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสูงที่สุดในโลก หลังจากแซงหน้า Tesla ของอีลอน มัสก์ ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2566

มาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าของจีน

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของจีนเติบโตอย่างรวดเร็วคือการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนที่มีนโยบายชัดเจนในการส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้

ในกลางปี 2566 จีนได้ประกาศแผนลดหย่อนภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) มูลค่ารวมถึง 5.2 แสนล้านหยวน หรือประมาณ 72.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การสนับสนุนนี้ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตและความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีน

เปรียบเทียบแพ็กเก็จส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า

ถึงปัจจุบัน รัฐบาลได้ออกแพ็กเก็จส่งเสริมการลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แล้ว 2 ชุด โดยชุดล่าสุดคือ มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.5 ซึ่งมีการปรับเกณฑ์ใหม่ทั้งหมดเมื่อเปรียบเทียบกับมาตรการ EV 3.0 ที่สิ้นสุดในปี 2566 โดยเฉพาะในเรื่องของเงินสนับสนุนและขนาดของแบตเตอรี่ที่เปลี่ยนแปลงไป

จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน พบว่า แพ็กเก็จ EV 3.0 เคยให้เงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยรถที่มีแบตเตอรี่ขนาดต่ำกว่า 30 kWh จะได้รับเงินสนับสนุน 70,000 บาท/คัน และแบตเตอรี่ขนาด 30 kWh ขึ้นไป จะได้รับเงิน 150,000 บาท/คัน

ในมาตรการ EV 3.5 รถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh ขึ้นไป จะได้รับเงินสนับสนุน 50,000 – 100,000 บาท/คัน ขณะที่รถรุ่นที่มีแบตเตอรี่ต่ำกว่า 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุนระหว่าง 20,000 – 50,000 บาท/คัน

นอกจากนี้ สำหรับการผลิตรถ EV เพื่อลดการนำเข้า มาตรการ EV 3.5 จะเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าอีวี 1 คัน ต่อการผลิตในประเทศ 2 คัน ภายในปี 2569 และ 1 คัน ต่อการผลิต 3 คัน ภายในปี 2570 ในขณะที่มาตรการ EV 3.0 กำหนดสัดส่วนเพียงนำเข้า 1 คัน ต่อการชดเชยการผลิต 1 คัน ภายในปี 2567 และ 1 คัน ต่อการผลิต 1.5 คัน ภายในปี 2568

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการส่งเสริมการลงทุนเพื่อรักษาโมเมนตัมการขยายตัวของอุตสาหกรรมอีวี แต่อาจมีแนวโน้มลดลงเมื่อพิจารณาจากตลาดรถยนต์อีวีที่กำลังเติบโต ค่ายรถต่าง ๆ กำลังทยอยเข้ามาลงทุนและตั้งฐานการผลิตตามเงื่อนไขที่กำหนด มิฉะนั้นจะมีโทษปรับจากการเรียกคืนเงินสนับสนุนที่จ่ายไป

Message us