ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ประเทศไทยเริ่มมีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) แม้ว่าจะยังมีสัดส่วนที่น้อย แต่การเติบโตถือว่าก้าวกระโดดอย่างชัดเจน
สำหรับปี 2567 การผลิตรถยนต์ BEV ในไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 3,048.48% เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งของตลาดอีวีในประเทศ นอกจากนี้ การขยายตัวของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายังสอดคล้องกับการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยอดจำหน่ายรถยนต์สันดาปกลับมีแนวโน้มลดลง
การเปลี่ยนแปลงนี้นับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับอนาคตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความยั่งยืนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต
ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า ในไทย: แนวโน้มที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลล่าสุดจากกรมการขนส่งทางบกระบุว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2566 (มกราคม-สิงหาคม) ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วประเทศอยู่ที่ 57,670 คัน โดยสามารถเห็นแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของยอดจดทะเบียนในแต่ละเดือนอย่างชัดเจน
ในเดือนมกราคม มีการจดทะเบียน 4,543 คัน, เดือนกุมภาพันธ์ 7,335 คัน, เดือนมีนาคม 8,522 คัน, เดือนเมษายน 5,079 คัน, เดือนพฤษภาคม 6,971 คัน, เดือนมิถุนายน 9,317 คัน, เดือนกรกฎาคม 6,854 คัน และเดือนสิงหาคม 9,049 คัน
การเติบโตอย่างต่อเนื่องนี้สะท้อนถึงความสนใจและการยอมรับรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับอนาคตของอุตสาหกรรม EV ในประเทศ
การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ให้ไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ไม่ได้หมายถึงเพียงการส่งเสริมการลงทุนในการผลิตรถอีวีในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังต้องพัฒนาความสมบูรณ์ของ Ecosystem ในซัพพลายเชน EV ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำด้วย
โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง “แบตเตอรี่” ซึ่งมีต้นทุนคิดเป็นประมาณ 40% ของการผลิต การพัฒนาเทคโนโลยีและการผลิตแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในตลาดอีวีระดับโลกได้
การสร้างระบบนิเวศที่ครบถ้วนในซัพพลายเชนจะช่วยสนับสนุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืน และส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในอนาคต
ตัวแม่มาเอง โรงงานรีไซเคิลแบตเตอรี่
การลงทุนในโครงการรีไซเคิลแบตเตอรี่กำลังมีความก้าวหน้าในหลายประเทศ โดยเฉพาะในจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อันดับ 1 ของโลก รัฐบาลจีนได้กำหนดนโยบายและมาตรฐานในการแยกชิ้นส่วนและทดสอบกำลังไฟของแบตเตอรี่ นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันให้สร้างแพลตฟอร์มสำหรับติดตามวงจรชีวิตของแบตเตอรี่ในประเทศ รวมถึงการให้ผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกับบริษัทรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน
จีนมองว่าการพัฒนาระบบรีไซเคิลนี้จะช่วยรักษาตำแหน่ง “ความเป็นผู้นำของโลกในตลาด EV” โดยผู้ผลิตรถยนต์จะสามารถลดต้นทุนได้จากการรีไซเคิลแบตเตอรี่ อีกทั้งยังสามารถรักษาแหล่งทรัพยากรที่มั่นคง เนื่องจากในปัจจุบัน จีนต้องพึ่งพาการนำเข้าลิเทียมมากกว่าร้อยละ 50 และโคบอลต์กับนิกเกิลมากกว่าร้อยละ 90
ด้วยการวางระบบรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพ จีนจึงมุ่งหวังที่จะเพิ่มความยั่งยืนในอุตสาหกรรม EV และเสริมสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรในอนาคต
การจัดระเบียบการรีไซเคิลแบตเตอรี่และผลกระทบต่อการตลาดรถยนต์ไฟฟ้า
การจัดระเบียบการรีไซเคิลแบตเตอรี่จะช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ในจีนสามารถทำการตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในต่างประเทศได้ดีขึ้น เนื่องจากสหภาพยุโรปได้กำหนดมาตรฐานปริมาณขั้นต่ำของแร่ในรถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่าย โดยต้องมีตะกั่ว 85% โคบอลต์ 16% ลิเทียม และนิกเกิลอย่างละ 6% นอกจากนี้ ยังมีข้อกำหนดให้ต้องมีแบตเตอรี่พาสปอร์ตและคิวอาร์โค้ดภายในปี 2570 เพื่อให้สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบได้อย่างโปร่งใส
ผลจากการดำเนินนโยบายส่งเสริมการลงทุนในโรงงานรีไซเคิลแบตเตอรี่ของจีนจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจุบันมีนักลงทุนจีนเข้ามาลงทุนในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยมากถึง 7 แบรนด์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจและการเติบโตของอุตสาหกรรมอีวีในประเทศไทย
การจัดระเบียบการรีไซเคิลนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมในจีน แต่ยังเปิดโอกาสให้ไทยสามารถเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตที่ยั่งยืนในระดับภูมิภาคและระดับโลกอีกด้วย